วันจันทร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ขงเบ้ง กุนซือแห่งยุคสามก๊กผู้หยั่งรู้ฟ้าดิน

ขงเบ้ง กุนซือแห่งยุคสามก๊กผู้หยั่งรู้ฟ้าดิน


หลายคนที่ดูสามก๊ก คงจะคุ้นเลยกับ กุนซือที่ปรึกษาเล่าปี่ ถือพัดขนนกสีขาว ใส่หมวกทรงหอยขด สภาพนิ่งสงบ นั้นก็คือท่าน ขงเบ้ง หรือนามว่า ฮึกหลง นั้นเอง

ขงเบ้ง หรือ จูเก๋อเหลียง (ค.ศ. 181—234) นักการเมืองและนักวางแผนในสมัยปลายราชวงศ์ฮั่น ของประเทศจีน ซึ่งหากนับจากประวัติศาสตร์ที่เป็นพงศาวดารที่แท้จริงแล้ว ขงเบ้งมีชื่อเสียงขึ้นมาหลังจากสิ้นราชวงศ์ฮั่น แต่มีความจงรักภักดีกับราชวงศ์ฮั่นมาก จึงยอมช่วยเหลือเล่าปี่ ซึ่งอ้างตนว่าเป็นเชื้อสายตงสานเชงอ๋องเพื่อกอบกู้้ราชวงศ์ฮั่น ขงเบ้งเป็นที่รู้จักในฐานะ เสนาธิการกองทัพ นักการเมือง วิศวกร นักวิชาการ และยังได้ชื่อว่าเป็นผู้คิดค้นซาลาเปา 

ตั้งแต่สมัยโบราณ กุนซือที่ปราดเปรื่องมักจะมีบทบาทสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงของประเทศ กุนซือที่น่าจดจำเทียบเคียงได้กับจูกัดเหลียงขงเบ้งมีดังนี้ หลี่ซือ กุนซือ คู่บารมีของจิ๋นซีฮ่องเต้ เตียวเหลียง กุนซือ ของเล่าปัง มีบทบาทในการสถาปนาราชวงศ์ฮั่นของฮั่นโกโจ ฮ่องเต้ 

ชื่อ 
ชื่อแต่เกิดคือ — จูกัดเหลียง (จีนตัวเต็ม: 諸葛亮, จีนตัวย่อ: 诸葛亮, พินอิน: Zhūge Liàng) ชื่อว่า Liàng และนามสกุล Zhūge 
ชื่อที่ผู้อื่นเรียกด้วยความเคารพ — ขงเบ้ง (孔明, พินอิน: Kǒngmíng) 
นอกจากนี้ยังมีฉายาอื่น เช่น มังกรซุ่ม (臥龍先生) หรือ (伏龍) 
ขงเบ้งในวรรณกรรม 
ในวรรณกรรมเรื่องสามก๊ก ขงเบ้งถูกยกย่องว่าหยั่งรู้ดินฟ้ามหาสมุทร ได้รับฉายาจากบังเต็กกงว่า " ฮกหลง " หมายถึง มังกรซุ่ม หรือ มังกรหลับ จากคำแนะนำของชีซีทำให้เล่าปี่ต้องมาเชิญด้วยตัวเองถึงสามครั้งสามครา มีความรู้เป็นเลิศ รับใช้ราชวงศ์เล่าถึง 2 ชั่วอายุคน ภายหลังเล่าปี่ตาย ได้ฝากฝัง เล่าเสี้ยน ให้ดูแลแต่ไม่อาจสำเร็จได้ เพราะพระเจ้าเล่าเสี้ยนหูเบา เชื่อแต่คำยุยงของขันทีฮุยโฮ ยกทัพไปปราบปรามชาวม่าน และได้สู้รบกับวุยก๊กหลายครั้ง มีคู่ปรับคือ สุมาอี้ 

ขงเบ้ง (Zhuge Liang -(Kong Ming)) (ค.ศ. 181-234) มีชื่อจริงว่า จูเก๋อเหลียง โดยขงเบ้งเป็นชื่อรอง เป็นบุตรชายคนที่ 2 ของ จูเก๋อกุย ขุนนางตงฉินของพระเจ้าxxxนเต้ โดยขงเบ้งมีพี่ชาย และน้องชายอย่างละคน คือ จูเก๋อกึ๋น พี่ชาย เป็นที่ปรึกษาของง่อก๊ก และน้องชาย จูเก๋อจิ๋น 

ขงเบ้ง เป็นผู้ฉลาดปราดเปรื่อง รอบรู้สรรพวิชาอย่างแตกฉาน ทั้งวิทยาศาสตร์ โหราศาสตร์ การเมืองการปกครอง การทูต และแม้กระทั้งไสยศาสตร์ มีอุปนิสัยใจคอเยือกเย็น มีเมตตา ชอบลองดีกับผู้ที่อวดโอ้ อุดมด้วยวาทะศิลป์ ใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบกับชาวบ้าน ที่เชิงเขาโงลังกั๋ง โดยช่วยเหลือชาวบ้านในการทำนาต่าง ๆ จนเป็นที่นับถือของชาวบ้าน ขงเบ้งมักจะเสวนากับผู้รู้เสมอ ๆ โดยเพื่อนร่วมวงเสวนากับเขานั้นได้แก่ ชีซี สื่อกวงเหวียน เมิ่งกงเวย และซุยเป๋ง และขงเบ้งมักจะยกตัวเองเทียบกับขวันต๋งและงักเย สองยอดนักปราชญ์ยุคชุนชิวและราชวงศ์ฉิน ซึ่งเพื่อน ๆ มักแปลกใจที่ขงเบ้งกล้ายกตนเช่นนั้น มีแต่ชีซีเท่านั้น ที่เชื่อว่าไม่ได้เป็นการยกตนเกินเลยไปเลย 

ขงเบ้ง มาเป็นกุนซือให้เล่าปี่จากการได้รับคำแนะนำจากชีซี โดยเล่าปี่ต้องมาคาราวะขงเบ้งถึงกระท่อมไม้ไผ่ ที่เขาโงลังกั๋ง ถึง 3 ครั้ง 3 ครา เมื่อขงเบ้งอายุได้เพียง 26 แต่ระยะแรกนั้น ขงเบ้งมิได้เป็นที่ยอมรับของบรรดานายทหารจ๊กก๊ก รวมทั้งกวนอูและเตียวหุยด้วย แต่เมื่อขงเบ้งได้แสดงฝีมือให้ปรากฏด้วยการทลายทัพของโจโฉที่เนินพกบ๋องแล้ว ขงเบ้งก็กลายเป็นที่นับถือและเลื่องลือถึงความสามารถอันปราดเปรื่อง 

ขงเบ้ง ยามออกศึก จะบัญชาการการรบบนรถเลื่อน โดยมีหมวกและพัดขนxxxนเป็นของประจำตัว ขงเบ้งเป็นผู้รอบรู้สรรพวิชาอย่างถ่องแท้ มองจิตใจคนทะลุปรุโปร่ง ทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้าได้แม่นยำ จึงสามารถล่วงรู้ได้ถึงสภาพดินฟ้าอากาศ สามารถเรียกลมได้ ผู้คนจึงกล่าวขานว่า เป็นผู้หยั่งรู้ดินฟ้า 

ขงเบ้ง เป็นกำลังสำคัญของแคว้นจ๊กก๊ก ภายหลังการสิ้นของเล่าปี่ กวนอู เตียวหุย ผู้นำคนสำคัญ โดยขงเบ้งมีฐานะเป็นเสนาบดีใหญ่ (เสิงเสี้ยน) ดูแลกิจการแทบทุกอย่างของจ๊กก๊ก เนื่องจากความอ่อนแอของพระเจ้าเล่าเสี้ยน (อาเต๊า) ขงเบ้งประสบความสำเร็จจากการยกทัพไปปราบเบ้งเฮ็ก อานารยชนที่แดนใต้ แต่ไม่ประสบความสำเร็จเลยในการยกทัพบุกเหนือถึง 5 ครั้ง เพื่อพิชิตแคว้นวุยก๊ก บั้นปลายชีวิต ขงเบ้งเจ็บออด ๆ แอด ๆ เสมอ ๆ ขงเบ้งสิ้นอายุเมื่อได้ 54 ปี บนรถม้ากลางสนามรบ ก่อนสิ้นชีพ ขงเบ้งได้ตรวจดวงชะตาตนเองแล้วรู้ว่า ใกล้ดับ จึงทำพิธีต่อชะตาอายุ แต่พิธีต้องล่มกลางคัน เมื่ออุยเอี๋ยน ทหารคนหนึ่งวิ่งทะเล่อทะล่าเข้ามา จนตะเกียงน้ำมันดับลง 

วันอาทิตย์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2558

10 เทคนิคการก้าวสู่อาชีพ Blogger แบบหาตังค์ได้

มีคนถามผมมาว่า อาชีพ Blogger หาเงินได้จริงไหม เป็นเซเลปวงการอินเตอร์เน็ตจริงหรอ มีมือถือใช้คนละ 4-5 เครื่องจริงๆหรอ ไปงานไหนก็มีแต่คนเชิญงั้นหรอ ผมก็ต้องบอกแหละครับ ว่ามีจริง ที่ต่างประเทศเนี่ย Blogger ที่หาเงินค่าเขียน Blog + Ads มีรายได้เดือนละแสนก็มี แต่มันไม่ได้ทำกันได้ง่ายๆ รวมไปถึงเงินลงทุนกับวงการ Blogger เมืองไทย ขอเรียกได้ว่า ขี้เล็บมดยังใหญ่ไปซะด้วยซ้ำ  แต่ผมก็ยังไม่อยากถึงกับพูดเพื่อ กลบฝันของหลายๆคนที่รักงานเขียน Blog แล้วอยากจะทำอาชีพ Blogger จริงๆ ยังไงก็ลองดูเทคนิคที่ผมใช้ละกันนะครับ
1. หาเรื่องที่ชอบมาผสมกับความถนัดแล้วนำเสนอแบบไม่เหมือนใคร
ปัจจุบันประเทศไทยมี Blogger หลายพัน หลายหมื่นคน แต่ละคนก็จะมีบุคลิกต่างกัน หาจุดเด่นของคุณแล้วก็พยายามทำให้มันฉีก ไม่เหมือนคนอื่น เพราะถ้า Blog คุณเหมือนกับ Blog ที่มีคนเคยเขียนอยู่แล้ว ไม่มีประโยชน์ที่จะมีใครเข้าไปอ่าน เพราะปัจจุบันก็มี Blogger ขั้นเทพ ยึดหัวหาดการนำเสนอเอาไว้หมดแล้ว ถ้าคุณไม่โดดเด่นจริงๆ ก็คงยากที่คนจะเข้ามาสนใจ รวมไปถึง Digital Agency ที่จะมาติดต่อลงโฆษณาด้วย
ตอนนี้ Blogger สายที่หารายได้ได้ จะมีอยู่ประมาณ 4 สายด้วยกัน
  • สาย IT จะทำพวกรีวิวอุปกรณ์ต่างๆเช่น มือถือ , Tablet , Notebook , กล้อง Digital , Networking โดยที่ Blogger ที่ประจำสายนี้ ก็มี kafaak.comyokekungworld.com , thaicyberpoint.com ,
  • สายท่องเที่ยว … พวกนี้ เดินทางเยอะ กิน เที่ยว กันเป็นว่าเล่น เก็บข้อมูลละเอียดยิบ  ซึ่ง Blogger ที่ประจำสายนี้คือ jidapa.in.th , don-jai.comdunbine.exteen.com 
  • สายความงาม .. เครื่องสำอางค์ สปา นวด และบริการความงามต่างๆ กลุ่มนี้ไม่มีพลาด pinnyforever.com , nichieme.com , erk-erk.com
  • สาย Lifestyle .. กลุ่มนี้จะกลางๆ ทั้งกิน ดื่ม เที่ยว บริการ ความแปลกใหม่ในชีวิต ที่ Hot มากของกลุ่มนี้คือ khajochi.com ครับ
และสายสุดท้ายคือ สายอสังหาริมทรัพย์ อันนี้ ยังไม่มี Blog สายนี้ตรงๆ แต่จะมี Blogger สาย Lifestyle , IT , ความงานไปแจมอยู่ตลอด ซึ่งอยากจะบอกว่า วงการนี้มีงบเยอะมากๆนะคร้าบบบ
สายอื่นๆยังไม่ค่อยจะมีชัดเจนมากเท่าไหร่ครับ และเนื่องจากตอนนี้วงการ Blogger ยังมีคนเขียนระดับ Hot ไม่เยอะมาก ดังนั้น ทั้ง 4 วงการ ก็จะมีการส่งงานให้กับ Blogger แบบข้ามไป ข้ามมากันอยู่เสมอ
อย่าง Freeware.in.th ก็มียัง Blog เริ่อง กิน เที่ยว มาปนๆกันด้วย เพราะผมเองก็เป็นนักกิน นักเที่ยวเหมือนกัน รวมไปถึง Smartphone และ Networking ก็เป็นความถนัดของผม
ดังนั้น ถ้าจะเขียนเรื่องอะไรก็เอาให้อยู่กับ 4 สาย หลักๆนี้ แต่ให้ฉีกแนวกว่าขาประจำเจ้าเก่าที่เค้าเคยทำมานั่นเองครับ
2. ก่อนจะเขียน ให้เริ่มที่กระดาษก่อน แล้วค่อยเขียนลง Blog
อันนี้เป็นเทคนิคส่วนตัวของผมเองครับ ก่อนที่ผมจะปั่น Blog .. ผมจะค่อยๆกำหนดทิศทางการเล่าเรื่องในกระดาษก่อนว่าจะ เปิดหัวเรื่องยังไง นำเข้าสู่รายละเอียดยังไง และจบยังไงให้คนอ่านรู้สึกอยากคลิกแชร์ต่อ หรือ อยากทดลองใช้โปรแกรมที่ผมเอามานำเสนอ ซึ่งจากการทำแบบนี้ จะทำให้การเขียน Blog ราบรื่นขึ้นมาก เพราะเราเห็นภาพในหัวของเราแล้วว่า Blog ที่เราเขียนตั้งแต่ต้นจนจบ มันจะมีอะไรบ้าง
3. ความถูกต้อง คือ สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับ Blog
เอาง่ายๆก็คือ คุณเขียน Blog มาเพื่อ แฟนๆประจำ Blog ของคุณ เค้าเลือกที่จะอ่าน Blog ของคุณ ก็เพราะเค้าเชื่อคุณ และ เพื่อตอบสนองต่อความเชื่อใจนั้นๆมันจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ที่ไม่ว่าคุณจะเขียน Blog อะไรก็ตาม มันจะต้องเป็นเรื่องจริงและข้อมูลที่ให้ก็ต้องถูกต้อง เพราะถ้าเกิดคุณนำเสนอข้อมูลผิดๆไปแล้ว นอกจากคนที่เข้ามาอ่านจะเอาข้อมูลผิดๆไปเผยแพร่แล้ว คุณยังอาจจะเจอดราม่าอีกด้วย ถ้าเกิดมีคนที่รู้ว่ามันผิดตรงไหน … รวมไปถึงเรื่องโกหกอีกด้วย ถ้ามีคนจับได้ มันจะกลายเป็นตราบาปติด Blog คุณไปยาวนานเลยแหละ เช่น การโม้ว่าหลงป่าแถวภูเขาไฟฟูจิน่ะ
4. เขียนทุกวัน อย่าหยุด
เพราะคุณคือ หน้าใหม่ของวงการ ดังนั้น ยิ่งคุณเขียนมากเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งมีกระสุนลูกใหม่ยิ่งใส่วงการ Social Network เพื่อดึงความสนใจมายังคุณมากขึ้น การเขียนทุกวันนอกจากเป็นการได้สิทธิ์โปรโมทวันละครั้งมาสู่ Blog ของเราแล้ว ยังเป็นโอกาสที่ดีในการพัฒนาฝีมือในการเขียนให้ดีขึ้น เร็วขึ้น สนุกขึ้นและละเอียดมากขึ้นอีกด้วย
ในหนังสือชื่อ Outlier ของ Malcolm Gladwell จะมีกฏอยู่ข้อหนึ่งที่เรียกว่า กฏ 10,000 ชม.  เนื้อหาของกฏนี้ก็คือ ไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็ตาม เช่น ขับรถ แปรงฟัน ซักผ้า ขี่จักรยาน .. ถ้าคุณทำมันครบ 10,000 ชม. เมื่อไหร่ คุณก็คือ ผู้เชี่ยวชาญระดับโลกสำหรับด้านนั้นทันที เช่นเดียวกัน หากคุณเขียน Blog มากและยาวนานเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ความเป็น Blogger สายหาเงินมากเท่านั้นแหละครับ
นั่นก็คือ ถ้าคุณเขียน Blog แบบ ไม่หลับ ไม่นอน ไม่กิน ไม่ดื่น ไม่เข้าห้องน้ำ ประมาณ 416 วัน ต่อเนื่องแบบ non stop คุณก็คือ เทพ Blogger แล้วนั่นเอง แต่ในความเป็นจริงคงไม่มีทางทำได้ ดังนั้น ถ้าเอาง่ายๆ เขียน Blog วันละ 1 ชม. ทุกวัน กว่าคุณจะเป็นเทพ Blogger ก็ประมาณ 27 ปี นั่นเองครับ ฮ่า
แต่วงการ Blog พึ่งจะมีมาไม่กี่ปีเองครับ ดังนั้น ยังไม่มีเทพ Blogger บนโลกนี้หรอก อิอิ
5. ลงทุนกับ Content อย่างสม่ำเสมอ
สิ่งที่คนเข้ามาอ่านก็คือ สิ่งที่เราเขียน แต่เรื่องที่เราจะเอามาเขียน บางครั้งถ้าไม่ลงทุนกับมันบ้าง ก็คงจะไม่มีใครสนใจ เช่นถ้าคุณไม่ออกไปมองโลกกว้าง , ซื้อของแปลกๆใหม่ๆมาทดลอง , หาของแปลกๆมากิน , ถ่ายรูปที่แปลกๆมานำเสนอ ก็คงจะยากที่คุณจะพัฒนา Content ในเว็บคุณไปสู้กับคนอื่นได้ ยกเว้นคุณจะพลิกวิกฤตเป็นโอกาสแบบ Freeware.in.th ครับ ของผมรีวิว โปรแกรมฟรี เพื่อมาแทนโปรแกรมผิดลิขสิทธิ์ ก็เลยไม่เสียเงินมากเท่าไหร่ แต่ก็หมดตัวไปกับการรีวิว Hardware บางตัวมาก เพราะส่วนตัวก็ชอบซื้อพวก Gadget แปลกๆมาลองอยู่แล้ว ดังนั้น ถ้าคุณจะเป็น Blogger แบบหาเงิน คุณก็ต้องลงทุนกับสิ่งที่คุณจะนำเสนอด้วยนั่นเองแหละครับ
แต่ก็ใช่ว่า การลงทุนกับ Content จะต้องเป็นเงินเสมอไปครับ จริงๆไอเดีย + เทคนิคการนำเสนอ ก็แปลงร่างเป็น ต้นทุนได้เหมือนกันนะ
6. Stat คือชีพจรของเว็บ จงดูแลมัน แต่อย่าไปใส่ใจกับมัน
Stat คือ Code ที่จะใช้ในการตรวจจับว่า มีใครบ้าง เข้ามาดูเว็บคุณ เมื่อไหร่ ยังไง อยู่นานแค่ไหน ด้วยอุปกรณ์อะไร ซึ่งผลของมันจะนำไปสู่การพัฒนา Content ใน Blog คุณอย่างต่อเนื่อง เช่นถ้าช่วงนี้คุณพบว่าเขียน Blog เกี่ยวกับการ สมัคร Apple ID แล้วมีคนเข้ามาเยอะเลย  คุณก็อาจจะเขียนเพิ่มอีกตอน เป็นเรื่อง การสมัคร Apple ID แบบไม่ใช้บัตรเครดิต ซึ่งผมเคยทำมาแล้วล่ะ แล้วก็พบว่า 2 Blog นี้ มีการเดินทางของคนอ่าน กลับไป กลับมา ค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว ทำให้ Traffic ในเว็บมีการวิ่งไป วิ่งมา ระหว่าง Content มากขึ้นครับ
แต่ที่ผมบอกเอาไว้ว่า จงดูแลมัน แต่อย่าไปใส่ใจกับมัน เพราะว่า บรรดา Blogger หน้าใหม่ทุกท่าน เวลาเห็นเลข Stat แล้วจิตใจจะหดหู่เหมือนโดนสาวทิ้งมาซะงั้น เหตุเพราะว่า เมื่อเราเริ่มเปิด Blog คนอ่านมันก็ต้องน้อยมากเป็นธรรมดาครับ แล้วช่วงเวลานี้ดันยาวนานซะด้วย ซึ่งยิ่งดูก็ยิ่งหดหู่ครับ ผมถึงบอกว่า Stat เนี่ย ให้ดูแลมันให้ดี นั่นก็คือ รันโค้ดให้ถูกต้อง ทุกหน้า ติดในตำแหน่งที่เหมาะสม ดูๆมันบ้าง ว่าสถานการณ์เป็นอะไร แต่อย่าไปใส่ใจกับมัน ถ้ามันน้อยกว่าที่เราคาดเอาไว้ครับ
7. อย่าเห็นแก่เงิน
ผมเห็น Blogger หลายคนหน้ามืด คิดจะเอาเงินจากพวก Affiliate , Adsense , Banner ลามกมากมาย ปิดกันเต็มเว็บไปหมด ให้ความรู้สึกเหมือน กรุงเทพตอนโดนหาเสียงยังไงยังงั้นเลย ซึ่งอยากจะบอกตรงๆว่า วิธีนั้นถึงจะหาเงินได้ แต่ก็ไม่ยั่งยืน แถมภาพลักษณ์ Blog ของคุณก็จะเสียหายอย่างมาก เวลาไปเดินงาน คุณอยากจะแนะนำตัว Blog ของคุณไหมล่ะครับ ว่าผมคือ Blog นี้นะครับ คลิกยากหน่อยเพราะ Banner เพียบเลย ลามกทั้งนั้น อะไรแบบนี้
รวมไปถึง ในตอนที่คุณเริ่มจะมี ชื่อเสียง และมีคนมาจ้างรีวิว .นั่นเป็นข่าวดีครับว่ามีคนยอมรับคุณแล้ว แต่ก็อย่าทำให้มันเป็นข่าวร้ายด้วยการเขียน อวย กันซะออกนอกหน้า จนเกินสิ่งที่เรียกว่า “ความจริง” ไปนะครับ เพราะสุดท้ายแล้วคนที่จะตัดสินก็คือผู้อ่านครับ ถ้าเค้าพบว่า Blog ที่คุณนำเสนอ มีแต่เรื่องที่ดูเชื่อถือไม่ได้ เขาเหล่านั้นก็จะจากไปครับ ซึ่งพวกเราในวงการ Blogger ยอมรับว่า มีการจ้าง Blogger เพื่อประชาสัมพันธ์จริง แต่พวกเราก็จะกำชับกับไปยังผู้ว่าจ้างทุกครั้งว่า เราจะเขียน “ข้อเท็จจริง” มีข้อดีบอกข้อดี มีข้อเสียก็บอกข้อเสียเท่านั้นเอง แต่มันก็ขึ้นอยู่กับ เทคนิคการนำเสนอของแต่ละคนด้วยว่า จะนำเสนอข้อเสียได้นุ่มนวลขนาดไหนแค่นั้นแหละครับ
8. เตรียมนามบัตรไว้ให้พร้อม 
อาชีพ Blogger ก็เหมือนกับ Salesman แหละครับ แต่สิ่งที่เราขายก็คือ ความเป็นตัวตน ความเป็นแบรนด์ของเรา และช่องทางประชาสัมพันธ์ข่าวสารผ่าน Blog ของเรา และถึงแม้ว่าเราจะทำงานในโลกออนไลน์ แต่ก็อย่าลืมเตรียมช่องทางติดต่อแบบออฟไลน์ไว้ด้วย ซึ่งบอกตามตรง ผมได้รับงานรีวิว ผ่านทางนามบัตรที่ผมมอบให้กับทางลูกค้า , Digital Agency และรวมไปถึง เพื่อนๆ Blogger ด้วยกันนี่แหละครับ เวลา Blogger ไปงาน เราก็จะเจอ Blogger ท่านอื่นมาร่วมงานด้วย ถ้ายังไม่รู้จัก ก็ยิ้มซักที ยกมือสวัสดี ถ้าอีกฝ่ายอายุมากกว่า แล้วก็แนะนำตัวพร้อมนามบัตรไปโลดครับ ผมก็ใช้วิธีนี้ เก็บงานและรายชื่อผู้ที่จะส่งงานมาให้หลายคนเลยทีเดียวครับ
นามบัตรควรจะมีรายละเอียดในการติดต่ออย่างครบถ้วน ชื่อ , นามสกุล , ที่อยู่ ทั้งที่อยู่จริงๆ และ ที่อยูู่สำหรับออกเอกสารภาษี , ช่องทางติดต่อทาง Social Network ให้ครบ ไม่ว่าจะเป็น URL ของ Blog , Facebook , Twitter , Email  และเบอร์มือถือ ถ้าเป็นไปได้ ก็ใส่หน้าเท่ห์ๆของเราลงไปด้วย เพราะบางทีเผื่อนึกหน้าไม่ออก เนี่ยแหละครับ แปลงกระดาษแผ่นเดียวให้กลายเป็นอุปกรณ์เอนกประสงค์ ทั้งแนะนำตัว สร้างความประทับใจและส่งเอกสารได้ในชิ้นเดียวไปเลย
9. รักษาความเป็นมืออาชีพ 
ความเป็นมืออาชีพมีหลากหลายมุมนะครับ ผมก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่ามีอะไรบ้าง แต่สำหรับผม ความเป็นมืออาชีพจากงานการที่ผมได้รับการสั่งสอนมาจากการทำงานประเภท Network Admin และ Organizer ก็คือ ” The Show must go on” .. ถ้าคุณรับงานมา ไม่ว่าจะเป็นงานอะไร ถ้ารับไปแล้ว ก็ต้องทำให้เสร็จ ตรงเวลา และ ห้ามทำงานประเภท ไก่เขี่ยส่งลูกค้าเด็ดขาด การรักษาสิ่งเหล่านี้ไว้ นอกจากครั้งหน้า ลูกค้าจะกลับมาใช้บริการคุณแล้ว เค้ายังแนะนำต่อให้กับ Digital Agency เจ้าอื่นๆด้วยครับ
โดยส่วนตัว ผมอยากทำงานให้ได้เหมือนกับที่ Ono Jiro พ่อครัวซูชิอันดับหนึ่งของโลก ถ้าใครได้ดูหนังสารคดีเรื่อง Jiro Dream of Sushi ล่ะก็ คุณจะได้เห็นความเป็นมืออาชีพของหลากหลายอาชีพจากชาวญี่ปุ่นครับ  และผมก็อยากให้คนที่เป็น Blogger ช่วยกันสร้างความเป็นมืออาชีพให้มันได้แบบนั้นด้วยครับ อัยย่ะ!!
10. จงสนุกสนาน และลุ่มหลงไปกับ Blog ของคุณ!
ไม่ว่าจะทำอะไร ถ้าคุณไม่สนุกหรือไม่ได้หลงใหลมันล่ะก็ ต่อให้มันดูดีแค่ไหน เราก็คงไม่สามารถทำมันได้นานหรอกครับ สุดท้ายแล้วก็ฝืนไม่ไหวแล้วก็ต้องเลิกอยู่ดี ผมเองก็เขียน Blog ด้วยความสนุกและท้าทาย ทุกครั้ง และจะรู้สึกตื่นเต้นทุกครั้ง ที่มีคนมาถามว่าโปรแกรมที่ทำความสามารถแบบนั้น แบบนี้ได้ มีไหม มันกลายเป็น Passion ของผมไปแล้ว ว่าผมจะต้องพิชิตความท้าทายนี้แล้วหาโปรแกรมฟรี มาเขียนเพื่อนำเสนอให้ได้
สำหรับ Blogger ทุกท่านที่อยากประกอบอาชีพ Blogger ผมก็อยากให้ทุกท่านมี Passion ในการเขียน Blog ครับ แล้วมันก็จะเป็นอย่างที่เค้าว่ากันไว้แหละ ว่า ถ้าเราสนุกกับงานของเรา เราจะไม่รู้สึกเหมือนเรากำลังทำงานอยู่เลย
ขอบคุณที่ติดตามครับ