วันจันทร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2557

อยากพูดอังกฤษให้คล่อง…ต้องฝึกฟังบทสนทนาภาษาอังกฤษ!

ทำไมต้องฝึกฟังบทสนทนาภาษาอังกฤษ? ผมเชื่อว่าใครๆก็อยากเก่งภาษาอังกฤษทั้งนั้น แต่ก่อนอื่นขอถามว่าความเก่งในที่นี้คืออะไรกันล่ะ ทักษะภาษาอังกฤษที่สำคัญที่สุดคืออะไรกันแน่ ผมบอกได้เลยว่า “ความคล่อง” ในการพูดภาษาอังกฤษถือเป็นเป้าหมายอันดับ 1 ของคนไทยตาดำๆอย่างเรา
ทีนี้ถามต่อไปอีกว่าวามคล่อง (Fluency) คืออะไร….แน่นอนมันคือการที่เราสามารถพูด และเข้าใจภาษาอังกฤษได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย โดยที่ไม่ต้องมานั่งแปลทีละคำนั่นเอง ความคล่องคือการที่เราสามารถพูดกับเจ้าของภาษาได้ โดยเราเข้าใจในสิ่งที่เขาพูด และตัวเค้าเองก็ฟังเราเข้าใจเช่นกัน ลองจินตนาการภาพที่เราคุยกับฝรั่งได้อย่างลื่นไหลเป็นฉากๆ โอ้ว มันดูเท่ห์ไม่น้อยเลยใช่มั้ยล่ะ
อ่านมาถึงตรงนี้หลายคนคงอยากจะพูดภาษาอังกฤษให้”คล่อง” กันเต็มแก่ แล้วจะทำยังไงล่ะ? บางคนก็ฝึกโดยการอัดตำราภาษาอังกฤษเข้าไป ศึกษามันเข้าไป ทั้งศัพท์ ทั้ง Grammar โดยหวังว่าวันหนึ่งเราจะพูดได้เก่งเหมือนคนอื่นบ้าง น่าเสียดายที่คุณกำลังมาผิดทางนะครับอยากพูดภาษาอังกฤษให้เก่ง แต่ดันไปฝึกสกิลอ่านแล้วมันจะเก่งได้ยังไงจริงมั้ยเอ่ย โชคดีที่วิธีการนั้นไม่ยากและไม่ซับซ้อนเลย
กุญแจสำคัญคือการฟังบทสนทนาภาษาอังกฤษ

การฟังบทสนทนาภาษาอังกฤษจะช่วยให้เราทำความคุ้นเคยกับสำเนียงของเจ้าของภาษา นอกจากนี้เราจะได้เรียนรู้ศัพท์ภาษาอังกฤษที่ใช้ในการพูดทั่วๆไปด้วย สิ่งนี้หาได้ยากมากตามหนังสือเรียนภาษาอังกฤษ การฟังบทสนทนาภาษาอังกฤษด้วยตนเองจะเปิดโอกาสให้เราฝึกพูดตามไปด้วย ต่างจากการดูหนังภาษาอังกฤษที่อาจมีการใช้คำยากๆ ซึ่งสำหรับคนที่ไม่มีพื้นฐานมาดีพอ แทนที่จะได้ฝึกการฟังกลับต้องมาคอยเปิด Dictionary ตีความหมายเอาเอง
การที่จะเก่งภาษาอังกฤษให้ได้เราต้องฟัง “อย่างเข้าใจ” และ “อย่างต่อเนื่อง”
  • ฟังอย่างเข้าใจ – ถ้าเราไม่เข้าใจ เราก็จะไม่เรียนรู้อะไรเลย นี่เป็นสาเหตุที่ทำไมดูข่าวภาษาอังกฤษมากแค่ไหนก็ไม่ช่วยอะไรเลย เราไม่เข้าใจเพราะมันเร็วและยากเกินไปไงล่ะ ถ้าไม่มีพื้นฐานมาก่อนก็ยากที่จะเก่งขึ้นแบบก้าวกระโดดได้หลายคนพยายามฝืน ฝึกฟังภาษาอังกฤษที่ยากและซับซ้อน ทำให้พัฒนาได้ช้าพอสมควร ดังนั้นหลักการสำคัญคือ “ง่ายๆ” เข้าไว้ครับ จะเก่งเร็วกว่าเยอะเลย
  • ฟังอย่างต่อเนื่อง - แค่เข้าใจไม่พอ แต่ต้องฝึกฟังบทสนทนาภาษาอังกฤษอย่างต่อเนื่องด้วย ลองคิดดูครับ ถ้าเราได้ยินศัพท์ภาษาอังกฤษใหม่แค่ครั้งเดียว ต้องลืมแน่ๆ ถึงฟังไป 5-10 ครั้งก็ยังจำไม่ได้อยู่ดี มันต้องผ่านหูนับครั้งไม่ถ้วนกว่าเราจะซึมซับจดจำ และเข้าใจได้ในทันทีที่ได้ยินอย่าว่าแต่ฟัง 10 ครั้งเลยครับ ถ้าอยากเก่งจริงๆก็ต้องฟังอย่างน้อย 50-100 ครั้งโน่นกว่าเราจะเข้าใจคำศัพท์ภาษาอังกฤษได้ทันทีที่เห็น
สรุปวิธีเก่งภาษาอังกฤษแบบง่ายๆก็คือ ต้องฟังบทสนทนาภาษาอังกฤษง่ายๆ และที่สำคัญต้องฝึกฟังอย่างต่อเนื่องด้วยนั่นเอง
ยิ่งไปกว่านั้นต้องให้เวลาไปกับการฝึกอย่างจริงจัง เพราะการเก่งภาษาอังกฤษมันไม่มีทางลัดหรอกครับ…คนที่เก่งภาษาอังกฤษต้องผ่านความยากลำบากมาก่อนอย่างแน่นอน
ผมได้รวบรวมบทสนทนาภาษาอังกฤษเอาไว้ให้เพื่อนๆพี่ๆน้องๆ ไปฝึกฟังกันครับ แถมมีแนวทางการฝึกฟังให้ด้วย 
1. แต่ละบทสนทนาภาษาอังกฤษมีความยาวประมาณ 5 นาที ให้ฟังหนึ่งบทยาวๆไปเลย 1 สัปดาห์ วันละ 1-2 ชั่วโมง
2. แบ่งเวลาการฝึกระหว่างวันได้ เช่น ตอนเช้า กลางวัน เย็น ก่อนนอนก็ฟังช่วงละ 30 นาที ยิดหยุ่นได้ตามใจชอบ
3. ฟังแล้วอ่านสคริปบทสนทนาด้วยครับ เพราะมันจะช่วยการอ่านออกเสียงของเราได้ พอคล่องแล้วค่อยฟังอย่างเดียวก็ไม่ว่ากัน
4. ต้องมีวินัยในการฝึกนะครับ พยายามทำทุกวันให้ได้อย่างน้อยวันละ 1-2 ชั่วโมง ขืนทำวันเว้นวันสุดท้ายเราอาจล้มเลิกโดยไม่รู้ตัวนะ

วันอาทิตย์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2557

บอกทางภาษาอังกฤษ…ง่ายนิดเดียว

บอกทางภาษาอังกฤษ…ง่ายนิดเดียว

คนไทยอย่างเราก็โชคดีนะครับที่ประเทศเต็มไปด้วยแหล่งท่องเที่ยวน่าสนใจมากมาย ทุกปีจะมีนักท่องเที่ยวไหลเข้ามาจากต่างแดนเต็มไปหมด ทั้งชาวยุโรป อเมริกัน หรือแม้แต่คนเอเชีย (โดยเฉพาะพี่จีน) ทำให้เศรษฐกิจคึกคัก พ่อค้าแม่ค้ายิ้มกันถ้วนหน้า
แต่สำหรับบางคนที่ไม่ช่ำชองเรื่องภาษา การเผชิญหน้ากับฝรั่งที่ถือแผนที่เข้ามาถึงกับทำให้หน้าถอดสีเลยทีเดียว อะอ้าววว คนอื่นมีตั้งเยอะแยะไม่ถาม ทำไม๊ทำไมต้องเป็นเราด้วย(วะ)เนี่ย วันนี้ผมจึงมาบอกวิธีง่ายแสนง่ายที่จะทำให้เราตอบคำถาม หรือให้ทิศให้ทางกับนักท่องเที่ยวแบบไม่มีการขายหน้าอย่างแน่นอน ขอแบ่งเป็น 2 กรณีละกันนะครับ
1. คุณรู้ทาง…จัดไปเลย
Where do you want to go? I’ll help you. (อยากไปไหนครับ เดี๋ยวผมบอกทางให้)
ร้อนก็ร้อน แผนที่ก็ดูไม่รู้เรื่อง ถามใครก็เบือนหน้าหนีกันหมด พอเจอเราออกตัวแบบนี้นักท่องเที่ยวรักตายเลยครับ ถ้าสถานที่อยู่ใกล้แถมเรารู้ทางด้วยทุกอย่างก็ง่ายมาก เพียงจำศัพท์พื้นฐานเกี่ยวกับการบอกทิศทางให้ได้ก็พอ ซึ่งหลักๆก็คือตรงไปกับให้เลี้ยวนั่นเอง หลายคนคงพอรู้อยู่แล้วนะครับ เอ้าเรามาทวนกันดู
  • You need to go straight ahead (เดินตรงไปเลย)
  • Then make a right/left turn (จากนั้นเลี้ยวซ้าย/ขวานะ)
We’re at… – ตอนนี้พวกเราอยู่ที่…
พอเสนอตัวแล้วก็บอกเค้าไปซะว่าเราอยู่ไหนกันแน่ ฝรั่งบางคนมาเที่ยวครั้งแรกเนาะ ก็ต้องเข้าใจว่าเค้าคงไม่รู้จริงๆหรอกว่าตัวเองอยู่ที่ไหนแล้ว ถึงเวลาทำหน้าที่เจ้าบ้านที่ดีก็คราวเนี้ย เล็งจุดบนแผนที่ให้ดีแล้วก็จิ้มบอกเค้าไปซะว่า “Right now, we’re at Huaykaew Road” (คือตอนนี้เราอยู่บนถนนห้วยแก้วนะครับ)
It’s just around the corner – ใกล้แล้วๆ ตรงหัวมุมข้างหน้านี่เอง
กรณีสถานที่อยู่ในระยะเผาขนก็พูดง่ายๆแบบนี้แหละครับ ไหนๆก็ไหนๆเดินไปส่งเค้าด้วยสิ (Let me walk you there.) โอ้โหน่าประทับใจขนาดนี้ สร้างภาพลักษณ์ดีๆได้สบาย งานนี้ฝรั่งได้รู้เลยว่าคนไทยมีน้ำใจจริงๆนะ
You have to go that way - เดินไปทางนั้นเลย (ชี้นิ้วไปด้วย)
สำหรับระยะกลางๆพอเดินเท้าได้ อย่าลืมบอกระยะทางคร่าวๆด้วยนะ เดี๋ยวแทนที่จะช่วยกลับทำให้ฝรั่งหลงทาง เช่น Go that way for about 500 meters, then turn left. (เดินไปทางนั้นซักครึ่งกิโลนะคุณ แล้วก็เลี้ยวซ้ายเลย) จังหวะนี้จะไปตรง-ซ้าย-ขวายังไงก็แล้วแต่สถานการณ์
It’s too far to walk. You should take a cab. (ไกลขนาดนี้เดินไม่ไหวมั้ง เรียกแท็กซี่ดีกว่าจ้ะ)
แต่ถ้าจุดหมายมันไกล๊…ไกลเหลือเกิน ก็ให้เค้านั่งแท็กซี่ไปเถอะครับ ประหยัดทั้งเรี่ยวแรงและเวลาด้วย cab ในที่นี้คือรถแท็กซี่ จะเปลี่ยนเป็น bus, van, sky train etc. ได้ตามสะดวกเลยนะครับ อย่างว่าแหละ มันมีช่องทางให้เลือกเยอะแยะ จากนั้นก็ปล่อยให้คนขับเค้าสานต่อ เราทำหน้าที่ได้ดีเยี่ยมแล้ว
Tips: แถมคำศัพท์เกี่ยวกับเส้นทางนิดนึง ที่เจอบ่อยๆก็มี junction (สามแยก) intersection (สี่แยก) traffic light (ไฟจราจร) lane (ซอย) on the other side of the road (อยู่บนฝั่งตรงข้ามถนน)
2. งงด้วยคน ไปทางไหนเนี่ย??
ในทางกลับกันถ้าคุณไม่รู้ทางเลยก็อย่าทะลึ่งพยายามไปบอกทางเค้านะครับ มันมีหลายวิธีที่จะช่วยเค้าได้ อย่าเพิ่งยอมแพ้แล้วโพล่งออกไปว่า “Sorry, I don’t speak English” (โทดทีครับ ผมพูดภาษาอังกฤษไม่ได้) แหม่…แล้วที่พูดออกมานี่มันไม่ใช่ภาษาอังกฤษรึไงกัน….ไม่ได้ๆ เราต้องรักษาฟอร์มไว้ก่อน
I don’t know the way. But I’ll try to help you. (ไม่รู้เหมือนกัน แต่ผมจะลองช่วยดูนะ)
จากนี้ไปจะเป็นวลีเด็ดๆที่ใช้เพื่อ “เอาตัวรอด” ล้วนๆครับ ปกติแล้วเราจะพูดว่า “I don’t know” เฉยๆเวลาไม่รู้ แบบนี้เสียหน้าแย่เลย แค่เสริมไปหน่อยว่าเราจะพยายามช่วย แค่นี้นักท่องเที่ยวก็ซึ้งใจแล้วครับ จากนี้ไปพยายามงดพูดว่า “ไอ ด๊อนท์ โนว์” หัวชนฝาแล้วเดินจากไปแบบนี้นะครับ
Let me ask someone who knows. (เดี๋ยวถามผู้รู้ให้แล้วกัน)
เฮ้ย นี่มันโบ้ยความรับผิดชอบให้คนอื่นนี่นา…. ไม่ใช่หรอกครับ มันเหมือนกับการ “ส่งไม้ต่อ” ต่างหาก อย่างน้อยถ้าเราไม่รู้ก็ช่วยถามคนแถวๆนั้นดูก็ได้ ว่าแล้วก็บอกฝรั่งว่า Just a moment. (รอแป๊บนึงนะ) ไปถามคนแถวนั้นเป็นภาษาไทยมาให้เรียบร้อย ก่อนจะเดินกลับมาบอกทางให้ตามข้อ 1. ต่อไป ห้า่มชิ่งนะครับ (ฮ่าๆๆ)
You should ask a tourism officer. (ถามเจ้าหน้าที่ดีกว่าครับ)
สุดท้ายถ้าไม่รู้จริงๆก็ให้เค้าโทรถาม call center ดีกว่าครับ เบอร์โทรของบริการให้ข้อมูลการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยคือ 1672 (ไปสืบมาเรียบร้อย) อาจพูดว่า “The number is 1672.” แล้วก็ส่งไม้ต่อให้เจ้าหน้าที่อีกที
เป็นไงบ้างครับ แค่เรื่องถามทางนี่จิ๊บๆมากเลยใช่มั้ย คราวหน้าเจอนักท่องเที่ยวหลงทางอย่าลังเลครับ เข้าไปช่วยเล้ย นอกจากจะได้ความรู้สึกดีๆกลับมาแล้วยังมีโอกาสได้ฝึกภาษาอังกฤษฟรีๆด้วย แบบนี้เรียกว่าคุ้มสุดๆ!

วันเสาร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2557

ภาษาอังกฤษน่ารู้ หมวดผลไม้


 ภาษาอังกฤษน่ารู้ หมวดผลไม้
 apple
 แอพเพิล
 แอปเปิ้ล
 
 banana
 บานานะ
 กล้วย
 
 carambola
 คะเเรมโบละ
 มะเฟือง
 
 cherry
 เชอรี่
 เชอร์รี่
 
 coconut
 โคโคนัท
 มะพร้าว
 
 durian
 ดิวเรียน
 ทุเรียน
 
 grape
 เกรพ
 องุ่น
 
 litchi
 ลิชชี่
 ลิ้นจี่
 
 longan
 ลองเกิน
 ลำไย
 
 mango
 แมนโก
 มะม่วง
 
 orange
ออเรนจ
 ส้ม

วันศุกร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2557

"สลัดซีซาร์" เกี่ยวอะไรกับ จักรพรรดิจูเลียส ซีซาร์ "

สลัดซีซาร์หรือซีซาร์สลัดที่มีแต่คนเคยกินมาแล้วทั้งนั้น ถือเป็น ราชาแห่งสลัด เลยนะคะ แต่รู้มั้ยว่าสลัดชนิดนี้มีความเป็นมายังไง แล้วเกี่ยวข้องอะไรกับจูเลียส ซีซาร์ รึเปล่า

ความจริง
สลัดซีซาร์ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับจักรพรรดิองค์นี้เลย แต่กลับเกี่ยวข้องกับซีซาร์ คาร์ดินี ผู้อพยพชาวอิตาเลียนเจ้าของภัตตาคารแห่งหนึ่งในประเทศเม็กซิโก

ซีซาร์ คาร์ดินี มีชีวิตอยู่ในช่วงค.ศ.1896-1956 อพยพมาตั้งรกรากในซานดิเอโก ประเทศอเมริกา ระหว่างค.ศ.1920-1924เป็นช่วงที่ซีซาร์เปิดร้านอาหารอยู่ พวกชาวอเมริกันและดาราฮอลลีวู้ดต่างก็นิยมกินสลัดกัน

ในเมื่อสลัดต้องกินคู่กับน้ำสลัด ซีซาร์จึงคิดสูตรน้ำสลัดขึ้นมา และตั้งชื่อน้ำสลัดตามนามสกุลและชื่อภัตตาคารที่เขาเป็นเจ้าของอยู่

ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก
นิตยสารคู่สร้างคู่สม
gourmetdaytoday.com

วันพฤหัสบดีที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2557

โทษของน้ำอัดลมมีจริง...

การดื่มน้ำอัดลมมากๆ (โดยเฉพาะน้ำสีดำ) กำลังจะเป็นปัญหาใหญ่เพราะนอกจากทำลายฟัน ทำให้กระดูกผุ ส่งผลถึงระบบเมตาโบลิซึมและเป็นสาเหตุของเบาหวานแล้ว ยังก่อให้เกิดภาวะไฮโปคาเลเมียหรือโพแทสเซียมในเลือดต่ำ ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนเพลียไม่มีแรงจนอาจถึงขั้นอัมพฤกษ์อัมพาตอีกด้วย 

จากการเก็บข้อมูลในผู้ป่วยที่ดื่มน้ำอัดลมวันละ 2 - 9 ลิตรต่อวันต่อเนื่องเป็นประจำพบว่า คนไข้มาพบหมอด้วยอาการ
เหนื่อยล้า กล้ามเนื้อไม่มีแรงไม่อยากอาหาร คล้ายจะอาเจียนตลอดเวลา ผลการตรวจเลือดพบโพแทสเซียมในเลือดต่ำและมีภาวะหลอดเลือดหัวใจอุดตันร่วมด้วย แต่หลังจากให้หยุดดื่มน้ำอัดลมและหันมารับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยโพแทสเซียมแล้ว พบว่าอาการป่วยดังกล่าวหายไ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก MET 107 FM "For Life And Music", healthandcuisine.com

สุดยอด 10 อันดับ เมืองในฝันของชายโสด

สุดยอด 10 อันดับ เมืองในฝันของชายโสด
วันนี้จะมาแนะนำเมืองในฝันของท่านชายโสดทั้งหลาย จะมีเมืองไหนต้องไปดู
อันดับ 10 Helsinki -- เมืองหลวงของฟินแลนด์แห่งนี้เต็มไปด้วยวัฒนธรรม มีชีวิตชีวา มีแต่คนวัยหนุ่มสาวที่แสวงหาการศึกษา การจ้างงาน และการผจญภัย แถมยังมีสถาปัตยกรรมทันสมัยที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น the World Design Capital สำหรับปี 2012 อีกทั้งยังเป็นเมืองหลวงที่ผสมผสานทั้งความใหม่และเก่าของเมือง และที่สำคัญมีผู้หญิงเยอะที่สุดในประเทศ
อันดับ 9 New York City -- เมืองที่ไม่หลับใหลและผสมผสานคนจากทุกๆ เผ่าพันธุ์และเชื้อชาติ มีทั้งสถาปัตยกรรม พิพิธภัณฑ์และอาร์ต แกลอรี่ให้เลือกชม แถมยังมีวัฒนธรรมผสมในแบบฉบับของตัวเอง เมืองนี้ยังมีคนอาศัยอยู่เยอะ ที่สำคัญผู้หญิงที่นี่เป็นลักษณะประเภทคบใครแบบไม่ผูกมัด
อันดับ 8 Rome -- เมืองอมตะแห่งนี้ ผสมผสานระหว่างเมืองแห่งศาสนากับเมืองแห่งความทันสมัย โรมเป็นสัญลักษณ์ของทั้งความวุ่นวาย ความโหดร้าย ความยิ่งใหญ่ มีสิ่งก่อสร้างใหญ่โตมากมายที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์และความอลังการงาน สร้าง แน่นอนว่าที่นี่มีผู้หญิงมาเที่ยวเยอะมาก
อันดับ 7 Montreal -- ที่นี่คือดินแดนใหม่ หรือโลกใหม่ในสมัยยุคล่าอาณานิคม ผู้คนพูดภาษาฝรั่งเศส ซึ่งเป็นภาษาที่ฟังดูงดงาม นอกจากนี้ยังได้รับการยกย่องจากยูเนสโกว่าเป็นเมืองที่มีการวางผังเมืองและ ออกแบบมาดีที่สุดในโลกเมืองหนึ่ง ผู้คนที่นั่นมีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีผู้หญิงอาศัยอยู่เยอะ อีกทั้งยังเป็นเมืองที่น่าทึ่งที่มีทั้งท่าเรือเก่า ดาวน์ทาวน์ที่ทันสมัย ตึกสูงเสียดฟ้าที่มองลงมาก็จะเห็น Mount Royal Park ซึ่งเป็นสวนสาธารณะที่ออกแบบโดยบุคคลคนเดียวกับที่ออกแบบ Central Park ในมหานครนิวยอร์ค
อันดับ 6 Tallinn -- เมืองหลวงของ Estonia ชาติเล็กๆ แต่มีอะไรให้ชาวพื้นเมืองน่าภาคภูมิใจมากมาย ที่สำคัญเมืองนี้เพิ่งได้รับขนานนามว่าเป็น Europe's 2011 Capital of Culture และแม้ว่าจะเป็นเมืองเล็กที่มีประชากรไม่ถึงห้าแสนคน แต่ที่นี่ก็มีแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นมรดกโลกหลายแห่ง แถมยังเป็นเมืองดิจิตอลแห่งหนึ่งของโลกด้วย สาวๆ วัยรุ่นจึงชอบมาอาศัยอยู่ที่นี่
อันดับ 5 Miami -- การจัดอันดับนี้จะไม่ครอบคลุมเลยหากตกหล่นไมอามี่ไป ที่นี่อากาศดีและผู้คนจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ตลอดเวลา สาวสวยก็เต็มชายหาด แม้ว่าจะเป็นเมืองที่ไม่มีแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์หรือวัฒนธรรม แต่สถานที่แห่งนี้ก็มีเสน่ห์ในตัวเอง ถ้าเปรียบว่าไมอามี่คือผู้หญิง ก็คงเป็นผู้หญิงที่เผ็ดร้อนพร้อมกระโดดงับคุณได้ทุกเมื่อ
อันดับ 4 Stockholm -- เมืองนี้เป็นเมืองที่นิยมที่สุดในแถบสแกนดิเนเวีย เป็นศูนย์กลางของประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของประเทศสวีเดน เป็นเมืองสีเขียวประหยัดพลังงาน และยังมีระบบการศึกษาที่ดีเยี่ยม ที่สำคัญสาวสวีเดนที่โดยมากรูปร่างดีมักชอบย้ายมาอยู่ที่นี่กันทั้งนั้น
อันดับ 3 Moscow -- เมืองใหญ่ที่สุดของรัสเซียและมีมหาเศรษฐีอยู่มากที่สุดในโลกตามรายงานของ นิตยสารฟอร์บส์ อีกทั้งยังมีมรดกทางวัฒนธรรมที่มีชื่อเสียงระดับโลก การผสมผสานระหว่างความมั่งคั่งและสังคมที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรมจึงดึงดูดคนที่ แสวงหาโชคทั้งหลายให้ย้ายเข้าไปอยู่ที่มอสโคว
อันดับ 2 Hong Kong -- แม้ว่าอังกฤษจะคืนฮ่องกงให้กับจีนไปแล้วหลายปี แต่ที่นียังคงเป็นเหมือนทางผ่านไปสู่อังกฤษ เกาะเล็กๆ แห่งนี้มีความสำคัญทางเศรษฐกิจมาก มีตึกระฟ้ามากมาย แสงไฟระยิบระยับเต็มไปหมดในเวลากลางคืน เป็นเมืองที่ผสมผสานกลมกลืนระหว่างโลกตะวันตกและตะวันออก ผู้คนทำงานอย่างเอาจริงเอาจัง แต่ก็นิยมสังสรรค์เยอะแบบไม่แพ้กัน
อันดับ 1 Bangkok -- เมืองแห่งโลกตะวันออกที่เปิดรับโลกตะวันตกได้มากเมืองนี้เป็นเมืองที่คนไทย รู้จักกันดีเยี่ยม ถึงแม้ว่าการจราจรติดขัดของกรุงเทพมหานครจะเป็นที่โจษจันจนทำให้การจราจรใน นิวยอร์คดูดีขึ้นมา เมืองหลวงของบ้านเราถือว่าดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากมายจากทุกสารทิศทั่วโลก อีกทั้งเป็นศูนย์กลางการศึกษาของประเทศ มีผู้คนหลายประเภทอาศัยอยู่ ความมีชีวิตชีวาของเมืองก็ไม่แพ้ใคร เรียกได้ว่าเที่ยวกรุงเทพฯ ไม่ผิดหวังแน่นอน...ใกล้ตัวขนาดนี้ หนุ่มไทยไม่ควรมองข้ามสาวไทยเป็นอันขาด
ขอบคุณเนื้อหาและรูปภาพจาก  Askmen,Sanook,kamoblog

วันพุธที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2557

5 วิธีเล่นหุ้น ฉบับ มนุษย์เงินเดือน

5 วิธีเล่นหุ้น ฉบับ มนุษย์เงินเดือน

วันนี้เจอบทความดีๆเลยเอามาฝากสำหรับการเล่นหุ้น ฉบับ มนุษย์เงินเดือน

ยุคที่ดอกเบี้ยเงินฝากน้อยกว่าอัตราเงินเฟ้อ มนุษย์เงินเดือนที่พอจะมีเงินเหลือจากรายจ่ายประจำเดือนอยู่บ้าง (บางคนบอกว่าไม่เหลือ แถมไม่พอใช้ด้วย) ก็ต้องหาทางบริหารเงินให้งอกเงย ทางหนึ่งที่น่าสนใจและเป็นที่นิยมพอสมควรคือการเล่นหุ้น ผมลองรวบรวมวิธีการเล่นหุ้นที่ผมใช้อย
ู่ทุกวันนี้มาแบ่งปันกันในฐานะของมนุษย์เงินเดือนคนหนึ่งครับ

1. ไม่นั่งเฝ้าราคาทั้งวัน การเป็นมนุษย์เงินเดือนนั้นบริษัทจ้างเรามาเพื่อทำงานครับ ถ้าคุณไม่ได้ทำงานเป็นมาร์ของโบรกที่ต้องคอยดูราคาขึ้นๆ ลงๆ คุณก็ไม่ควรนั่งจ้องหน้าจอหุ้นตลอดเวลา มีช่วงหนึ่งของชีวิตที่ผมเคยเล่นหุ้นโดยมีระบบการซื้อขายที่ตัดสินใจจากราคาหุ้นที่เปลี่ยนแปลงไป ช่วงนั้นผมต้องนั่งเฝ้าหน้าจอทั้งวันเลย ดีที่ตอนนั้นทำงานเป็นฟรีแลนซ์เลยปรับเวลาทำงานตัวเองเป็นหลังตลาดปิด แต่ก็รู้สึกว่าตัวเองเสีย Productivity มาก เมื่อเทียบกับเงินเพียงเล็กน้อยที่ได้มาจากการเฝ้าหน้าจอ

2. ไม่เล่นรอบเพื่อหวังรวยเร็ว เชื่อว่า 99% ของคนที่ไม่เคยเล่นหุ้นมาก่อนและกำลังตัดสินใจจะเล่นโดยที่ยังไม่มีความรู้อะไรมากนัก ย่อมคิดว่าการเล่นหุ้นทำให้รวยเร็ว เริ่มจากเงินลงทุนจำนวนไม่มากของตัวเอง ซื้อหุ้นตอนราคาต่ำๆ ถือไว้สักพักราคาจะวิ่งขึ้น จากนั้นก็ขายเพื่อเอาทุนคืน เอากำไรที่ได้ไปซื้อหุ้นตัวใหม่ ทำแบบนี้ไม่กี่รอบ จากเงินลงทุนหลักหมื่นจะกลายเป็นหลักแสน หลักแสนจะกลายเป็นหลักล้าน ผมไม่ปฏิเสธว่ามีคนที่ทำแบบนี้แล้วพอร์ตโตขึ้นจริง แต่คำถามคือมีคนกี่เปอร์เซ็นต์ที่ทำได้แบบนี้? และเขาจะได้กำไรไปเรื่อยๆ หรือเปล่า? มันทำให้ผมคิดถึงคนที่เล่นหวย บางคนดวงดีทำบุญมาเยอะ ซื้อหวยแล้วถูกเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าคุณจะถูกหวยบ่อยๆ เหมือนเขานะ

3. เล่นหุ้นให้เหมือนฝากประจำ สมัยที่ผมทำงานใหม่ๆ ได้เงินเดือน 20,000 บาท ผมจะแบ่งเงินครึ่งหนึ่งสำหรับใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน อีกครึ่งเอาเข้าบัญชีเงินฝากประจำทุกเดือนเป็นเวลา 24 เดือน มันน่าอึดอัดเหมือนกันเวลาที่ผมอยากซื้อของราคาสูงๆ อย่างโน้ตบุ๊ก แต่มันก็ช่วยให้มีวินัยทางการเงิน และส่งผลให้สองปีต่อมา ผมมีเงินก้อน 240,000 บาท บวกดอกเบี้ยอีกก้อนเล็กๆ ตอนนี้ผมประยุกต์ใช้วิธีนี้กับการเล่นหุ้น คือแบ่งเงินส่วนหนึ่งไว้ทุกเดือนเพื่อโอนเข้าบัญชีหุ้น (ผมใช้บัญชีเงินสด) บางคนอาจใช้เงินก้อนนี้ซื้อหุ้นทุกเดือนเลยโดยไม่สนราคา แต่ผมใช้วิธีถือเงินสดไว้และรอเข้าซื้อในจังหวะที่หุ้นตกแรงๆ จากประสบการณ์ที่ผ่านมา แต่ละปีจะมีช่วงเวลาที่หุ้นตกหนักประมาณ 2-3 ครั้ง

4. ซื้อหุ้นเหมือนซื้อกิจการ เป็นกฎของนักลงทุนแนวพื้นฐาน (Fundamental) และนักลงทุนเน้นคุณค่า (Value Investor) เนื่องจากมนุษย์เงินเดือนไม่มีเวลานั่งเฝ้าราคา และไม่หวังรวยเร็วจากการเล่นรอบ เลยต้องซื้อหุ้นโดยวิเคราะห์พื้นฐานของธุรกิจนั้นๆ เสมือนว่าเราจะซื้อกิจการ ต้องเข้าใจว่ารายรับของบริษัทมาจากไหน มีรายจ่ายอะไรบ้าง ลูกค้าคือใคร สภาพตลาดเป็นยังไง อีก 5 ปี ตลาดจะใหญ่ขึ้นมั้ย คู่แข่งแข็งแกร่งแค่ไหน ผู้บริหารเป็นยังไง ฯลฯ ถ้าเข้าใจสิ่งเหล่านี้ เมื่อมีเหตุการณ์บางอย่างเข้ามาทำให้ราคาหุ้นตกหนัก ผมก็จะเข้าใจว่าเหตุการณ์นั้นส่งผลกระทบต่อพื้นฐานของธุรกิจในระยะยาวจริงหรือเปล่า ถ้ามีผลแค่ระยะสั้น ผมก็จะใช้เงินสดในข้อ 3 เพื่อซื้อหุ้นเพิ่ม แต่ถ้าดูแล้วน่าจะส่งผลกระทบในระยะยาว แบบนี้ก็ค่อยพิจารณาขายทิ้ง

5. ตั้งเป้าหมายว่าจะมีรายได้จากเงินปันผลไว้ใช้ตอนเกษียณ ลองประเมินดูว่าทุกวันนี้ถ้าเรากินอยู่อย่างประหยัด ต้องใช้เงินเท่าไหร่ ลองคูณเงินเฟ้อเพื่อดูว่าอีก 20-30 ปีที่เราเกษียณแล้ว เราต้องใช้เงินเท่าไหร่ ถ้าค่าใช้จ่ายของเราในอนาคตมาจากเงินปันผล แปลว่าตอนนั้นเราควรมีพอร์ตขนาดไหน พอร์ตของเราในปัจจุบันยังห่างจากเป้าหมายเท่าไหร่ ในแต่ละปีเราควรจะมีเป้าหมายในการเพิ่มขนาดพอร์ตปีละเท่าไหร่ ถ้าวางแผนให้ดีตั้งแต่ตอนที่ยังมีแรงทำงาน พอถึงตอนที่ทำงานไม่ไหวแล้ว เราจะได้ไม่ต้องลำบากลูกหลานครับ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก "คุณ ทองเนื้อเก้า" pantip.com ห้อง สินธร www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I12761206/I12761206.html

วันอังคารที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2557

ก่อนผ่าตัด ทำไมต้องงดน้ำงดอาหาร

                             ก่อนผ่าตัด ทำไมต้องงดน้ำงดอาหาร
เนื่องจากก่อนที่แพทย์จะทำการผ่าตัด จะต้องให้คนไข้ดมยาสลบเพื่อจะได้ไม่ต้องทนเจ็บปวดทรมานในระหว่างการผ่าตัดนั้น 


หากไม่มีการให้คนไข้งดน้ำและอาหารก่อน ก็อาจจะทำให้คนไข้เกิดอาการสำลักเศษอาหาร หรือน้ำย่อยในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นไปเข้าปอดได้ ซึ่งความรุนแรงจะมากน้อยแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับชนิดและปริมาณของอาหารที่สำลัก 

หากรุนแรงมากอาจทำให้คนไข้ขาดออกซิเจน หรือระบบการหายใจของคนไข้มีปัญหาได้
ฉะนั้นจึงควรงดน้ำงดอาหารก่อนการผ่าตัดเป็นดีที่สุด
.
.
ขอบคุณข้อมูลจากสำนักหอสมุด ม.ราม ; นิตยสาร Lisa